วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562

เลือกตู้เย็นคู่ครัว ใช้งานได้ชัวร์ แบบนี้สิถูกใจ!

ตู้เย็น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องครัวหลักๆที่ทุกบ้านจะต้องมีไว้ใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกตู้เย็นสักเครื่องมาใช้งานที่บ้าน จะต้องมีหลายปัจจัยในการพิจารณา เพื่อเลือกตู้เย็นที่เหมาะสมกับการใช้งาน และคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เราจ่ายไปมากที่สุด


โดยเราสามารถพิจารณาเรื่องพื้นฐานกันก่อนได้เบื้องต้นคือ เรื่องของประเภทตู้เย็น เช่น ตู้เย็น 1 ประตู, ตู้เย็น 2 ประตู หรือตู้เย็นประเภทอื่นๆ รวมถึงเรื่องของขนาดตู้เย็น คุณสมบัติพื้นฐาน ราคาตู้เย็น ความประหยัดพลังงาน และข้อจำกัดของพื้นที่ภายในบ้าน ปัจจัยเหล่านี้เป็นเรื่องหลักๆสำหรับการเลือกตู้เย็นให้เหมาะสมมากที่สุด …

ขนาดความจุของตู้เย็น


ขนาดความจุของตู้เย็น เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก ขนาดจะต้องไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป โดยพิจารณาเลือกจากจำนวนสมาชิกภายในครอบครัว และพฤติกรรมการใช้งานตู้เย็นในแต่ละวัน ยกตัวอย่างเช่น

  • สมาชิกภายในบ้าน 2-3 คน ควรเลือกใช้ตู้เย็นขนาด 6-10 คิว
  • สมาชิกภายในบ้าน 4-5 คน ควรเลือกใช้ตู้เย็นขนาด 10-15 คิว
  • สมาชิกภายในบ้านมากกว่า 6 คนขึ้นไป ควรเลือกใช้ตู้เย็นขนาด 15 คิวขึ้นไป

นอกจากเรื่องของขนาดตู้เย็นแล้ว ยังต้องพิจารณาเรื่องของพื้นที่ในการจัดวางประกอบด้วย อย่าลืมวัดขนาดกว้างxลึกxสูงของตู้เย็นกันด้วย เพราะถึงแม้ว่าสมาชิกภายในบ้านของเรามีจำนวนมาก ต้องเลือกตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่มาใช้งาน แต่พื้นที่ที่บ้านไม่เพียงพอต่อการจัดวาง จึงต้องจำเป็นที่จะต้องลดขนาดตู้เย็นลงหน่อย เพื่อที่จะสามารถจัดวางติดตั้งใช้งานได้


โดยตำแหน่งสำหรับจัดวางตู้เย็น จะต้องเป็นจุดที่สามารถระบายความร้อนได้ดี ไม่ทึบจนเกินไป ควรเว้นระยะห่างด้านหลังตู้เย็นกับผนังบ้านเอาไว้ด้วย สักประมาณ 20 เซนติเมตร ด้านข้างประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้มีระยะในการเปิดปิด และระบายความร้อนได้อย่างเต็มที่

ตู้เย็นประหยัดไฟเบอร์ 5


สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาเลือกตู้เย็น อันที่จริงก็เครื่องใช้ไฟฟ้าแทบจะทุกชนิด คือฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นป้ายที่บ่งบอกว่าตู้เย็นรุ่นนี้สามารถช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า เป็นไปตามมาตราฐานที่ กฟผ. และ กระทรวงพลังงาน สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ได้ที่ > เครื่องใช้ไฟฟ้ากับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

การเลือกตู้เย็นประหยัดไฟจะต้องเลือกที่มีสัญลักษณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพการประหยัดไฟสูงสุด โดยตัวเลขประหยัดไฟจะมีทั้งหมด 5 ระดับด้วยกันถ้าเปรียบเทียบเบอร์ฉลากกับค่าไฟที่ต้องเสียรายปีได้ ดังนี้

  • ตู้เย็นฉลากเบอร์ 3 : กินไฟ 332 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 840 บาท/ปี
  • ตู้เย็นฉลากเบอร์ 4 : กินไฟ 262 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 644 บาท/ปี
  • ตู้เย็นฉลากเบอร์ 5 : กินไฟ 220 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 573 บาท/ปี


คุณสมบัติพื้นฐานของตู้เย็น


คุณสมบัติพื้นฐานตู้เย็นที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบ ก็จะเป็นเรื่องขององค์ประกอบภายในตู้เย็น ว่ามีพื้นที่สำหรับวางของ อาหาร เครื่องดื่มเพียงพอหรือไม่ โดยหลักๆแล้วเราจะดูจากส่วนประกอบหลักๆดังนี้

  • ชั้นวางของภายในตู้เย็น : สามารถถอดเข้าออกได้ เพื่อปรับขนาดช่องเก็บของและการทำความสะอาด
  • ลิ้นชักช่องแช่ : จะต้องเป็นช่องแยกออกมาต่างหาก เพื่อปรับอุณภูมิให้เหมาะสมตามอาหารที่แช่
  • ช่องแช่ผักและผลไม้ : ต้องควบคุมความเย็นและความชื้นให้เหมาะสม เพื่อความสดของผักผลไม้อย่างยาวนาน
  • ชั้นวางข้างประตู : จะต้องมีพื้นที่วางกว้างและเพียงพอในการวางแช่น้ำ เครื่องดื่มต่างๆได้ดี


ราคาตู้เย็นต้องคุ้มค่า


ราคาตู้เย็น เป็นปัจจัยที่สามารถทำให้เราตัดสินใจเลือกตู้เย็นได้ง่ายมากขึ้น หากคุณกำหนดงบประมาณไว้ตั้งแต่ต้น โดยเราสามารถคำนวณความคุ้มค่าของราคา และอายุการใช้งานของตู้เย็นแต่ละรุ่นได้ เพื่อเปรียบเทียบว่ารุ่นไหนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด ด้วยสูตรการคำนวณดังนี้

ราคาตู้เย็น / จำนวนปีที่มีการรับประกัน
ราคาตู้เย็น / จำนวนปีที่มีการรับประกัน + ค่าไฟต่อปีที่ระบุบนป้ายเบอร์ 5 / 365 วัน

ดีไซน์ตู้เย็นทันยุคสมัย


นอกจากเราจะพิจารณากันเรื่องของขนาด ราคา และคุณสมบัติพื้นฐานแล้ว เราควรนำเรื่องของดีไซน์ความสวยงามมาตัดสินร่วมด้วย เพราะตู้เย็น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะอยู่คู่บ้านเราไปอีกนาน ดังนั้นการเลือกตู้เย็นที่มีดีไซน์เรียบง่าย แต่ทันสมัย เน้นโทนสีดำ สีเทา สีเงิน เป็นหลัก จะช่วยทำให้ตู้เย็นดูใหม่ ทันยุคอยู่เสมอ


ไม่ว่าตู้เย็นจะมีราคาสูง ฟังก์ชั่นมากมายแค่ไหน แต่หากเลือกซื้อมาแล้วเราใช้งานได้ไม่ครบฟังก์ชัน ก็ถือว่าไม่คุ้มสักเท่าไหร่ ดังนั้นการเลือกตู้เย็นอย่างเหมาะสม ควรเลือกให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานและจำนวนสมาชิกภายในครอบครัวของเราเป็นหลัก ส่วนเรื่องของราคา ดีไซน์ตู้เย็น ก็เป็นปัจจัยย่อยเข้ามาประกอบการตัดสินใจ

หากคุณต้องการเลือกซื้อตู้เย็นราคาถูก พร้อมโปรโมชั่นลดราคา และบริการจัดส่งติดตั้งอย่างรวดเร็ว สามารถแวะเข้ามาเลือกชมสินค้าตู้เย็นหลายแบรนด์ชั้นนำได้ที่ www.homepro.co.th

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562

เครื่องใช้ไฟฟ้ากับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น แอร์บ้าน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราทุกคน แต่ขึ้นชื่อว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้นการทำงานก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการใช้งานแน่นอน และหากเราใช้งานเยอะ ค่าไฟก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นเราจึงต้องเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติช่วยประหยัดพลังงานได้มากที่สุดมาใช้งาน ก็จะทำให้เราประหยัดค่าไฟได้มากกว่าเดิม


เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟ


อย่างที่เราทราบกันดีว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน จะมีป้ายประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดเอาไว้เพื่อบ่งบอกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนี้มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟสูงสุด ไบอกข้อมูลเบื้องต้นต่างๆของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด ค่าใช้จ่ายต่อปี เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาประกอบในการเลือกตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีป้ายประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่เป็นมาตราฐาน โดยฉลากประหยัดไฟมีตั้งแต่เบอร์ 1 ถึง เบอร์ 5 โดยเบอร์ 5 เป็นตัวบ่งชี้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถประหยัดพลังงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นฉลากที่รับประกันการประหยัดพลังงานที่ออกโดยหน่วยงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกระทรวงพลังงาน เราจะต้องสังเกตุลายน้ำที่เป็นสัญลักษณ์รูปโลกุตระ และต้องมีชื่อองค์กรทั้ง 2 แห่งอยู่บนฉลากด้วย


ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 บอกอะไรเราได้บ้าง?


ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็อย่างที่เห็นกันว่ามีตัวเลขและข้อความเยอะแยะเต็มไปหมด บางทีเราก็คงจะดูไม่ออกว่า ตัวเลขบนฉลากหมายถึงอะไรบ้าง เพราะที่เราดูหลักๆ ก็คงจะดูแค่เบอร์ 5 กันใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า บนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะบอกอะไรเราได้บ้าง !

  • ตัวเลขบอกประสิทธิภาพ ระดับ 1 ถึง 5 ยิ่งเลขมาก ยิ่งประหยัดไฟ
  • รุ่นของสินค้า และข้อความระบุปีที่ทำการทดสอบประสิทธิภาพ
  • ข้อความระบุประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ลายน้ำสัญลักษณ์ของกระทรวงพลังงาน
  • ตัวเลขการใช้พลังงานต่อปี และ ค่าไฟต่อปี
  • แสดงชื่อหน่วยงานที่กำกับดูแล กฟผ. และ กระทรงพลังงาน


หากมีข้อมูลตามที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด คุณสามารถแน่ใจได้เลยว่า ฉลากประหยัดไฟนั้นเป็นฉลากแท้ ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและกระทรวงพลังงานอย่างถูกต้องตามมาตราฐาน

วิธีการคำนวณค่าใช่จ่ายต่อปี


เราสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายต่อปีได้ง่ายๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 สามารถช่วยให้เราประหยัดค่าไฟได้จริง ด้วยการนำตัวเลขมาเข้าสูตรดังนี้ …..

ค่าใช้จ่าย (บาท) = หน่วยพลังงานไฟฟ้า (kWh) × ค่าพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วย

ตัวอย่างการคำนวณ: กำหนดให้แอร์บ้านใช้งาน 8 ชั่วโมง/วัน หน่วยพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 954.62 kWh และ ค่าพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยอยู่ที่ 3.28 บาท/หน่วย สามารถคำนวณผลการประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ดังนี้

ค่าใช้จ่าย (บาท) = 954.62 kWh x 3.28 บาท
ค่าใช้จ่าย (บาท) = 3131.14 บาท

การเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากจะช่วยลดค่าไฟได้มากขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์ได้ถึง 9.87 ล้านตันต่อปีเลยทีเดียว

ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าสักเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดใดก็ตาม อย่าลืมเก็บเรื่องของฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 มาพิจารณาประกอบกันด้วยนะคะ คุณสามารถเข้ามาเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และลดราคาถูกสุดคุ้มกันได้ที่ www.homepro.co.th

BTU แอร์บ้านกับขนาดพื้นที่ ต้องคิดยังไง?

แอร์บ้าน เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แทบจะขาดไม่ได้เลยตามบ้านเรือน อาคารและสำนักงาน ด้วยอากาศบ้านเราที่เต็มไปด้วยความร้อนระอุ เหมือนกับมีพระอาทิตย์มาอยู่บนหลังคาบ้านแบบนี้ บอกเลยว่าแค่พัดลมก็คงเอาไม่อยู่แน่นอน

ดังนั้นการเลือกแอร์บ้านมาติดตั้งใช้งานที่บ้าน จะสามารถช่วยคลายร้อน เพิ่มความเย็นชื่นใจให้กับที่อยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่การจะเลือกแอร์บ้านขนาดให้เหมาะสมกับบ้านของเรา จะต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ?


พิจารณาเลือกแอร์บ้านให้เหมาะสม

การเลือกแอร์บ้านให้เหมาะสมกับบ้านของเรา จะต้องพิจารณาหลักๆเลยคือเรื่องของ ขนาดของแอร์ว่าเป็นแอร์กี่ BTU ขนาดของพื้นที่ห้องที่เราจะทำการติดตั้ง และตำแหน่งของหน้าต่างบ้าน ตรงส่วนที่รับแสงแดดจากภายนอก ว่าอยู่ตรงจุดไหน คุณสามารถตรวจสอบขนาด BTU ให้เหมาะสมกับห้องที่บ้านได้ด้วยการเทียบตารางดังนี้

บีทียูห้องปกติ (ตร.ม.)ห้องที่โดนแดด (ตร.ม.)
900012 - 1411 - 13
1200016 - 2014 - 18
1800020 - 2821 - 27
2100028 - 3525 - 32
2400032 - 4028 - 35
2600035 - 4430 - 39
3000040 - 5035 - 45
3600048 - 6042 - 54
4000056 - 6552 - 60
4800064 - 8056 - 72
6000080 - 10070 - 90

การเลือก BTU แอร์บ้านให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง จะสามารถช่วยให้เราประหยัดค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเราเลือกแอร์บ้าน BTU ต่ำเกินไป แอร์บ้านก็จะทำงานหนัก เพื่อที่จะปรับอุณภูมิให้ได้ถึงตามที่เราตั้งค่าเอาไว้ แต่หากเราเลือกแอร์บ้าน BTU สูงกว่าขนาดของห้อง ก็จะทำให้เราเปลืองค่าไฟโดยใช่เหตุ

ดังนั้นการเลือก BTU แอร์บ้านให้เหมาะสม จะช่วยทำให้เราสามารถประหยัดค่าไฟ และใช้งานแอร์บ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หากคุณอยากประหยัดไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ต้องเลือกแอร์บ้านเป็นระบบ Inverter รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานอย่างเช่น ก่อนเปิดแอร์ ให้ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเสียก่อน, เปิดพัดลมเพื่อไล่ความร้อนก่อนเปิดแอร์, ไม่ควรนำความชื้นหรือความร้อนเข้ามาในห้อง และที่สำคัญคือต้องหมั่นตรวจเช็คสภาพแอร์บ้าน และล้างแอร์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562

แอร์บ้านธรรมดา กับ แอร์บ้าน Inverter แตกต่างกันอย่างไร?

แอร์บ้าน เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มความเย็นสบายภายในบ้าน โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนบ้านเรา ความร้อนระอุเหมือนกับพระอาทิตย์โคจรอยู่ใกล้หลังคาบ้าน! บอกเลยว่าแค่พัดลม บางทีก็เอาไม่อยู่… ดังนั้นแอร์บ้านจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่แทบจะทุกครอบครัวมีแอร์บ้านไว้ใช้งานคลายความร้อน ปรับอุณภูมิภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


แอร์บ้านกับระบบ Inverter


แต่แอร์บ้านปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบ หากคุณเคยลองไปเดินตามห้างสรรพสินค้าตามหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า คงจะพอคุ้นหูกับคำว่า Inverter กันอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบจะทุกชนิด เปลี่ยนมาใช้เป็นระบบ Inverter กันหมดแล้ว เนื่องจากระบบ Inverter เป็นระบบการทำงานที่ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแอร์บ้านก็เป็น 1 ในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำระบบ Inverter เข้ามาใช้งานเพื่อสร้างความเย็นฉ่ำให้กับบ้านของเรา พร้อมกับช่วยประหยัดค่าไฟมากกว่าเดิม!

แอร์บ้านธรรมดา กับ แอร์บ้าน Inverter


แล้วแอร์บ้านธรรมดา กับ แอร์บ้าน Inverter มีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงบอกว่าแอร์บ้านระบบ Inverter ประหยัดพลังงานมากกว่า … ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่าระบบ Inverter คืออะไร?

ระบบ Inverter คืออะไร?


ระบบ Inverter คือ ระบบมอเตอร์แบบกระแสตรง หรือคอมเพลสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะตัวเครื่องทำงาน คอมเพลสเซอร์จะ Start การทำงานเพียงครั้งเดียวตอนเริ่มต้น และจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีการลดรอบการทำงานเมื่ออุณภูมิถึงที่ตั้งค่า และกลับมาเพิ่มรอบการหมุนเพื่อคงอุณภูมิให้ได้ตามที่กำหนด


ติดตามอ่านระบบ Inverter เพิ่มเติมได้ที่ > ระบบ INVERTER คืออะไร ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างไรหนอ ?

การทำงานของคอมเพลสเซอร์


ระหว่างแอร์บ้านธรรมดา กับแอร์บ้าน Inverter ความต่างมันอยู่ที่การทำงานของคอมเพลสเซอร์นี่แหละ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าระบบ Inverter จะ Start เครื่องทำงานเพียงครั้งเดียวตอนเริ่มต้น และปรับอุณภูมิด้วยการลดเพิ่มรอบการหมุน ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าระบบทั่วไปถึง 20-30%

ต่างกับแอร์บ้านธรรมดาทั่วไป ที่เริ่มต้น Start เครื่องทำงาน ทำอุณภูมิให้ได้ตามที่กำหนดแล้ว คอมเพลสเซอร์ก็จะตัดการทำงาน และต้อง Start เครื่องใหม่อีกรอบเพื่อปรับอุณภูมิห้องอีกครั้งเมื่ออุณภูมิเปลี่ยน ดังนั้นการ Start เครื่องหลายครั้ง เป็นการทำงานที่เปลืองพลังงานไฟฟ้ามาก อีกทั้งยังส่งเสียงดังรบกวนระหว่างเครื่องทำงานอีกด้วย


แอร์บ้าน Inverter ทำงานเงียบมากกว่า


หากเทียบกันเรื่องของความเงียบ แน่นอนว่าแอร์บ้าน Inverter ทำงานเงียบมากกว่าแอร์บ้านธรรมดาทั่วไปแน่นอน เพราะเป็นระบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการตัดรอบการทำงานคอมเพลสเซอร์แบบแอร์ปกติ แต่เป็นการลดและเพิ่มรอบการทำงาน จึงทำให้ไม่เกิดเสียงดังขณะเปิดใช้งาน หรือหากมีเสียงก็เบามากๆ ไม่เป็นการรบกวนแต่อย่างใด

ราคาแอร์บ้าน Inverter


เชื่อว่าหลายคนคงเคยสังเกตุกันอยู่บ้างว่าแอร์บ้าน Inverter จะมีราคาที่สูงมากกว่าแอร์ปกติทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และที่สำคัญแอร์บ้านจะมีความทนทานและสามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น หากคุณมีงบประมาณมากเพียงพอ ก็อยากแนะนำให้เลือกแอร์บ้าน Inverter ไว้ใช้งานไปเลย เพราะหากคิดถึงความคุ้มค่าเรื่องของการประหยัดไฟในระยะยาว ถือว่าคุ้มทุนแน่นอนภายใน 2 ปี ซึ่งหากเทียบกับแอร์บ้านปกติทั่วไป อาจจะใช้เวลาคุ้มทุนนานถึง 5-10 ปีเลยทีเดียว

สำหรับใครที่กำลังหาแอร์บ้านเครื่องใหม่ไปใช้งาน แนะนำให้เลือกแอร์บ้าน Inverter ไว้ใช้งานกันไปเลย รับรองว่าไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน สั่งซื้อแอร์บ้าน Inverter ผ่านเว็บออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทยได้ที่ Homepro.co.th

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี?

เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี? เป็นคำถามที่หลายคนอยากจะได้คำตอบ เพราะเครื่องฟอกกาอาศในท้องตลาดบ้านเรา มีให้เลือกหลายยี่ห้อเหลือเกิน ยี่ห้อนั้นก็ดัง ยี่ห้อนี้ก็ฟังก์ชันดี ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะเลือกเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนมาใช้งานที่บ้าน…


วันนี้แอดมินเลยหยิบยกเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อดังๆในตลาดบ้านเรามาให้เพื่อนๆได้อ่านรายละเอียดกัน พร้อมแนะนำเครื่องฟอกอากาศรุ่นขายดี ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพการกรองอากาศ รวมถึงแหล่งจำหน่ายสินค้าเครื่องฟอกอากาศรับประกันคุณภาพ ให้เพื่อนๆตามไปช้อปปิ้งได้เลยทันที!

เครื่องฟอกอากาศ Sharp


เครื่องฟอกอากาศ Sharp เป็นเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไทยมายาวนาน ความโดดเด่นของเครื่องฟอกอากาศ Sharp คือเทคโนโลยี Plasmacluster ที่มีเฉพาะใน Sharp (หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับโฆษณานี้ดี)


เทคโนโลยี Plasmacluster จะทำการปล่อยอนุภาคไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นสูงออกมาในอากาศ มีทั้งอนุภาคประจุบวก (H+) และ ประจุลบ (OZ-) ปล่อยออกมาสลับสับเปลี่ยนกันไป อนุภาคไฟฟ้าจะทำหน้าที่ทำลายผนังของเซลล์เชื้อรา (Mold) ไวรัส (Virus) และ แบคทีเรีย (Bacteria) ส่งผลทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์

เทคโนโลยี Plasmacluster นอกจากช่วยกำจัดเชื้อไวรัสต่างๆแล้ว ยังช่วยขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับชื้น หรือกลิ่นที่ติดอยู่ตามเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่านต่างๆได้ดีอีกด้วย ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

นอกจากนี้เครื่องฟอกอากาศ Sharp ยังมาพร้อมกับแผ่นกรอง HEPA ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองต่างๆภายในอากาศที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97%

เครื่องฟอกอากาศ SHARP FP-J30TA-B


เครื่องฟอกอากาศ SHARP FP-J30TA-B เป็นเครื่องฟอกอากาศราคาประมาณ 3 พันบาท แต่มีประสิทธิภาพการป้องกันฝุ่นได้ดีเลยทีเดียว รุ่นนี้เป็นที่นิยมมากเพราะนอกจากจะสามารถป้องกันฝุ่นได้ดีแล้ว ยังมีดีไซน์ที่สวยงาม ขนาดเล็กกะทัดรัดพอเหมาะกับห้องขนาดเล็กประมาณ 23 ตารางเมตร


เครื่องฟอกอากาศ SHARP KC-G40TA-W 28SQM


เครื่องฟอกอากาศ SHARP KC-G40TA-W 28SQM เป็นเครื่องฟอกอากาศราคาไม่เกิน 15,000 บาท ตัวเครื่องมีดีไซน์ที่ทันสมัย หน้าจอแบบสัมผัส พร้อมระบบเซ็นเซอร์ 6 ประเภท ที่สามารถตรวจจับสภาพแวดล้อมภายในบ้านได้อย่างแม่นยำ ทั้งฝุ่นละอองทั่วไป หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 PM รวมไปถึงกลิ่นอับ เชื่อโรคและเชื้อแบคทีเรีย โดยเครื่องฟอกอากาศ Sharp รุ่นนี้จะเหมาะกับขนาดห้องประมาณ 21-30 ตารางเมตร


เครื่องฟอกอากาศ BWELL


เครื่องฟอกอากาศ BWELL เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงจากทางฝั่งยุโรป แบรนด์นี้จะเน้นผลิตเครื่องฟอกอากาศเป็นหลัก ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับบุคคลทั่วไป ที่ต้องการความอ่อนโยน โดยเฉพาะเด็กทารก หรือผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้

เครื่องฟอกอากาศ BWELL นิยมใช้อย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ โรงพยาบาลหรือหน่วยงานราชการต่างๆ เนื่องจากเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ไม่มีอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดฝุ่นดำ ที่ส่งผลให้ปอดเกิดการระคายเคือง ถึงแม้ว่าเครื่องฟอกอากาศ BWELL จะมีราคาค่อนข้างสูงกว่ายี่ห้ออื่นสักหน่อย แต่รับรองเลยว่าคุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน

เครื่องฟอกอากาศ BWELL AC-2104 40SQM


เครื่องฟอกอากาศ BWELL AC-2104 40SQM เป็นเครื่องฟอกอากาศราคาประมาณ 15,000 บาท เหมาะสำหรับใช้ภายในห้องขนาด 20-40 ตารางเมตร ที่มาพร้อมกับระบบฟอกอากาศถึง 7 ขั้นตอน สามารถกรองได้ทั้งฝุ่นละออง ก๊าซพิษ และกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ อีกทั้งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศได้อีกด้วย


เครื่องฟอกอากาศ ELECTROLUX


เครื่องฟอกอากาศ Electrolux เป็นอีกแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ามาจากสวีเดน ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยเครื่องฟอกอากาศเป็นอีกกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจากทางแบรนด์ Electrolux ที่มีความน่าสนใจ ทั้งทางด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และความทนทาน ถึงแม้ว่าราคาสินค้าจะสูงกว่าแบรนด์อื่นสักหน่อย แต่หากเทียบกับคุณภาพที่ได้รับกลับมานั้น ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

เครื่องฟอกอากาศ ELECTROLUX EAC415 60SQM


เครื่องฟอกอากาศ ELECTROLUX EAC415 60SQM เป็นเครื่องฟอกอากาศราคาไม่ถึง 20,000 บาท เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ 60 ตร.ม. สามารถกรองอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับดีไซน์ที่สวยทันสมัย และเทคโนโลยีที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดี นอกจากนี้เครื่องฟอกอากาศ Electrolux ยังมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย เช่น ระบบตรวจจับคุณภาพอากาศ ระบบปรับเสียง 25-26 เดซิเบล แผ่นกรอง Carbon ที่เป็นตัวช่วยกำจัดกลิ่นได้ถึง 99% และแผ่นกรองฝุ่นแบบ HEPA ที่สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 99.98%


สุดท้ายนี้ หากใครที่คิดว่าต้องการจะเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ใช้งานที่บ้านแน่นอน แต่ต้องการเลือกเครื่องฟอกอากาศรุ่นอื่นๆเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่อยู่ในบทความนี้ ก็สามารถแวะเข้าไปเลือกชมอ่านรายละเอียดสินค้ากันได้ที่ เครื่องฟอกอากาศ Homepro

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

เทคนิคการเลือกเครื่องฟอกอากาศ

ช่วงนี้เทรนด์เครื่องฟอกอากาศกำลังมาแรง หลังจากบ้านเราประสบปัญหาเรื่องของมลภาวะทางอากาศที่มีตัวเลขพุ่งสูงเกินมาตราฐาน หลายคนเลยเริ่มมองหาอุปกรณ์ที่จะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หน้ากากกันฝุ่น N95 หรือ เครื่องฟอกอากาศ จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงนี้

แต่การจะเลือกเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องมาใช้งานที่บ้านของเรา จะต้องพิจารณาอะไรกันบ้าง ถึงจะได้เครื่องฟอกอากาศที่คุ้มค่า และใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด


การเลือกเครื่องฟอกอากาศ


การเลือกเครื่องฟอกอากาศ จะต้องคำนวณจากขนาดของห้อง เพื่อเลือกเครื่องฟอกอากาศกำลังเครื่องให้เหมาะสม เพราะหากเราเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดเล็กกว่าขนาดของห้อง เครื่องก็จะทำงานได้ไม่ทั่วถึงและไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าเลือกเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่เกินกว่าขนาดของห้อง ก็จะเปลืองค่าไฟได้เช่นกัน

ยี่ห้อและราคา ก็เป็นอีกปัจจัยในการนำมาพิจารณาเลือกเครื่องฟอกอากาศ อย่างเช่น เครื่องฟอกอากาศ Sharp, Hitachi, Daikin, Electrolux และอีกมากมาย โดยราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ไปจนถึง 25,000 บาท


ระบบการทำงานเครื่องฟอกอากาศ


เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองอากาศได้รวดเร็ว ให้เราดูที่ค่าตัวเลข Airflow หรือ ค่าประสิทธิภาพการฟอกอากาศ ตัวเลขจะต้องอยู่ในระดับที่สูง

เครื่องฟอกอากาศที่สามารถผลิตปริมาณอากาศบริสุทธิ์ได้จำนวนมากและรวดเร็ว จะต้องมีค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) อัตรามาตราฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดยหน่วยงาน AHAM สำหรับวัดค่าประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศ โดยคำนึงถึงขนาดของห้องและปริมาณของอากาศบริสุทธิ์ที่ผลิตออกมาต่อนาที ซึ่งหากค่า CADR มีค่ามาก นั้นแสดงว่าเครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ระดับเสียงรบกวนของเครื่องฟอกอากาศในขณะตัวเครื่องทำงาน จะต้องมีเสียงอยู่ในระดับไม่เกิน 30-31 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะกับการพักผ่อน

เครื่องฟอกอากาศประหยัดไฟ


อีกเรื่องที่เราต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วยคือ เรื่องของการประหยัดพลังงาน ในเบื้องต้นเราจะต้องเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ไว้ก่อนเพื่อความมั่นใจ และทำการเปรียบเทียบเรื่องอัตราการกินไฟกับหลายๆยี่ห้อ เพื่อเลือกยี่ห้อที่ประหยัดไฟมากที่สุดมาใช้งาน


นอกจากนี้ให้พิจารณาจากเรื่องของแผ่นกรองของเครื่องฟอกอากาศด้วย ควรเลือกแผ่นกรองที่มีความหนาแน่นไม่มากเกินไป เพราะมันจะช่วยให้อากาศสามารถไหลผ่านได้ดี และตัวเครื่องก็จะทำงานไม่หนัก ช่วยประหยัดค่าไฟได้อีกทาง

การซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้งานที่บ้าน มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งานภายในบ้านของเรานี่สิ เป็นเรื่องที่ต้องคิดเยอะกันสักหน่อย หากต้องการอ่านรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม สามารถกดเข้าไปดูได้ที่เว็บไซด์ของเรา www.homepro.co.th

เครื่องฟอกอากาศคืออะไร? ป้องกัน PM2.5 ได้ไหม? ใครรู้ช่วยบอกที!

เครื่องฟอกอากาศ หรือ เครื่องฟอกอากาศ pm 2.5 กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยมที่หลายคนอยากได้มาใช้งานที่บ้านกันมากขึ้น หลังจากที่บ้านเราประสบปัญหามลภาวะฝุ่นละอองตัวเลขขึ้นเกินมาตราฐาน หลายคนจึงเริ่มมองหาสิ่งที่จะสามารถป้องกันสุขภาพร่างกายของตนเองและครอบครัว ทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน

เครื่องฟอกอากาศ จึงเป็นตัวเลือกที่สามารถช่วยกรองอากาศภายในบ้าน ช่วยทำให้อากาศมีความสะอาดปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค ปกป้องคุณและคนในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เครื่องฟอกอากาศเป็นอะไรที่ควรมีติดบ้านเอาไว้ใช้งานสักเครื่อง!


เครื่องฟอกอากาศคืออะไร?


เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่กรองอากาศภายในบ้าน โดยหลักการทำงานระบบจะทำการดูดอากาศโดยรอบเข้าสู่ตัวเครื่อง ผ่านตัวกรองอากาศเพื่อดักจับฝุ่นละออง กลิ่นเหม็น เชื้อโรคและแบคทีเรียภายในอากาศ และปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกสู่บรรยากาศภายในบ้าน เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคุณและสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้

เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่น จะมีความสามารถในการกรองฝุ่นละอองได้แตกต่างกัน โดยสามารถกรองได้ตั้งแต่ 0.1-0.3 ไมครอน โดยเครื่องฟอกอากาศจะสามารถกรองฝุ่นและมลพิษทางอากาศได้ถึง 99% ดังนั้นหากคุณอยากจะป้องกันบ้านให้ปลอดภัยจากฝุ่น pm 2.5 แนะนำให้เลือกเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องที่มีคุณสมบัติกรองฝุ่นละออง pm 2.5 ได้ไว้ใช้งานสักเครื่องค่ะ


แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกเครื่องฟอกอากาศมาใช้งาน อยากให้พิจารณาเรื่องของขนาดตัวเครื่องและกำลังการทำงานประกอบด้วย โดยแต่ละรุ่นมีให้เลือกตั้งแต่ 10-100 ตร.ม. ขึ้นไป แต่ยิ่งกำลังเครื่องสูงมาก ราคาก็ยิ่งสูงตามไปด้วย

ปกป้องบ้านให้ห่างไกลจากมลภาวะทางอากาศ ฝุ่นละออง PM2.5 ด้วยการเลือกเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องไว้ใช้งานที่บ้าน หากคุณยังไม่รู้ว่าจะเลือกเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหน หรือแบบไหนดี ลองแวะเข้ามาอ่านรายละเอียดสินค้าเครื่องฟอกอากาศลดราคาถูกได้ที่ Homepro.co.th

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

Digital Door Lock ถ้าไฟดับแล้วไงต่อ!?

หลายคนยังคงมีความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับ Digital Door Lock กันอยู่ว่า ถ้าไฟดับจะต้องเข้าบ้านไม่ได้แน่ๆ! เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดว่า Digital Door Lock ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดกันค่ะ! เพราะกลอนประตูดิจิตอล ใช้ระบบถ่านในการทำงาน ไม่ต้องเดินสายไฟเชื่อมต่อแต่อย่างใด


Digital Door Lock ระบบถ่าน…


โดยปกติแล้ว Digital Door Lock จะใช้ถ่าน AA จำนวน 4-8 ก้อน และสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานประมาณ 1 ปี ค่าเฉลี่ยการเข้าออกประมาณ 10 ครั้ง/วัน และเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนถ่านใหม่ ที่ตัวเครื่องก็จะมีสัญลักษณ์ไฟและเสียงสัญญาณแจ้งเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนถ่านแล้วนะ แนะนำให้เปลี่ยนเลยทันที

ถ้าเปลี่ยนถ่ายไม่ทันล่ะ?


อีกเคสปัญหาต่อมาคือ ตัวเครื่องแจ้งเตือนให้เปลี่ยนถ่านแล้ว แต่ว่าเราอาจจะหลงลืมเปลี่ยนถ่านใหม่ไม่ทันเวลา ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะส่วนใหญ่แล้ว Digital Door Lock จะมีโหมดฉุกเฉินไว้สำหรับรองรับเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นช่องสำหรับเสียบถ่านอัลคาไลน์ 4 เหลี่ยมที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไป นำมาเสียบเพื่อต่อใช้พลังงานฉุกเฉิน ช่วยให้เราสามารถเข้าออกบ้านได้ตามปกติ และทันทีที่เราใช้พลังงานฉุกเฉินแนะนำให้รีบเปลี่ยนถ่านใหม่เลยทันที


Digital Door Lock กับการรับประกันหลังการขาย


การใช้งาน Digital Door Lock ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปแล้วจะสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งค่อนข้างคุ้มค่ามากเลยทีเดียว ซึ่งแบรนด์ยี่ห้อดังๆส่วนใหญ่ก็จะรับประกันสินค้าประมาณ 1-2 ปีตามมาตราฐาน คุณสามารถส่งซ่อมสินค้าได้เลยทันที หรือสามารถปรึกษาช่างในการใช้งานได้เช่นกัน

โดยคุณสามารถเลือกซื้อ Digital Door Lock พร้อมบริการจัดส่งและติดตั้งจากช่างมืออาชีพ ครอบคลุมทุกการบริการได้ที่ Homepro.co.th พร้อมบริการหลังการขายแบบครบวงจร ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมCall Center Homepro 1284

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562

เครื่องฟอกอากาศ ป้องกัน PM2.5 อุ่นใจเรื่องสุขภาพ

เครื่องฟอกอากาศ หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ด้วยภาวะมลพิษทางอากาศในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง โดยเฉพาะตอนนี้ในกรุงเทพ ที่กำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่มีขนาดเล็กมาก เล็กจิ๋วขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมของคนเราเลยทีเดียว


ด้วยความเล็กจิ๋วของ PM2.5 จึงทำให้ฝุ่นสามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลต่อระบบทางเดินหายและสุขภาพร่างกายของเราอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อมรับมือ ป้องกันเจ้าฝุ่น PM 2.5 ด้วยการสวมหน้ากาก N95 และเลือกเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องไว้ใช้งานที่บ้าน เพื่อสุขภาพของคนในครอบครัว!

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ


เครื่องฟอกอากาศ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น หากคนใดคนหนึ่งเป็นหวัด แต่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน โดยเปิดเครื่องฟอกอากาศเอาไว้ จะช่วยกำจัดเชื้อไวรัสในอากาศได้ถึง 99.99%

เครื่องฟอกอากาศกับโรคภูมิแพ้


เครื่องฟอกอากาศยังมีส่วนช่วยกรองมลพิษในอากาศ ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และขนสัตว์ ที่เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ ซึ่งหากคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เครื่องฟอกอากาศก็จะช่วยลดอาการกำเริบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องฟอกอากาศเป็นตัวช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเราละครอบครัว



นอกจากนี้ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการนอนไม่หลับหรือหลับยาก มีอาการหลับๆตื่นๆตลอดทั้งคืน ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาวะอากาศและฝุ่นละอองภายในห้อง โดยเครื่องฟออากาศจะเข้ามาช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดลง และส่งผลให้คุณสามารถนอนหลับได้สนิทตลอดคืน

เครื่องฟอกอากาศ PM 2.5


เครื่องฟอกอากาศรุ่นแนะนำ ที่สามารถลดปัญหา PM 2.5 ที่เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่เรากำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในช่วงนี้ได้คือ เครื่องฟอกอากาศ Sharp รุ่น KC-G40TA-W เป็นเครื่องฟอกอากาศที่มีดีไซน์สวยหรู ล้ำสมัยด้วยจอแสดงผลแบบ Smart Display สามารถตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กมากๆ ได้ถึง 2.5 PM


เครื่องฟอกอากาศ Sharp มาพร้อมระบบพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้นที่มีเฉพาะในชาร์ปเท่านั้น โดยระบบจะทำการพ่นอนุภาคบวกและลบ ช่วยในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในอากาศได้ และสลายกลิ่นอับชื้น จนไปถึงสลายฤทธิ์สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> เครื่องฟอกอากาศลดราคาถูก

หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศสำหรับใช้งานที่บ้านเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลิ่นอับ ละอองเกสร ฝุ่นไรต่างๆ หรือขนสัตว์ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อดัง ลดราคาถูกกันได้ที่ >> เครื่องฟอกอากาศ Homepro

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

เครื่องฟอกอากาศป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อสุขภาพคนในครอบครัว

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับคนเมืองในช่วงนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่ฝุ่นเต็มไปหมด หลายคนเริ่มหาซื้อหน้ากากกันฝุ่นแบบ N95 มาใช้กันแล้วเพื่อป้องกันสุขภาพทางเดินหายใจของตนเอง แต่หน้ากากกันฝุ่นอาจจะไม่เพียงพอ เพราะเรามักจะสวมใส่หน้ากากเวลาเราออกจากบ้านเท่านั้น


แต่เวลาเราอยู่ภายในบ้านหรือตัวอาคาร เราก็จะถอดหน้ากากออก ซึ่งฝุ่นเล็กขนาด PM2.5 อาจจะฟุ้งกระจายอยู่ภายในบ้านของเราด้วย ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับต้น ที่เหมาะสมที่สุดในการใช้รับมือปัญหาฝุ่นมลพิษทางอากาศในตอนนี้

ประเภทเครื่องฟอกอากาศ


เครื่องฟอกอากาศตามท้องตลาดก็มีอยู่ 4 ประเภทให้เลือกใช้งาน เครื่องฟอกอากาศแผ่นกรองคาร์บอน, เครื่องฟอกอากาศแผ่นกรองคาร์บอน, เครื่องฟอกอากาศแผ่นกรองกรองอากาศสูง และ เครื่องฟอกอากาศ UV โดยแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติการกรองอากาศที่แตกต่างกัน เรามาเริ่มกันที่เครื่องฟอกอากาศประเภทแรกกันเลย…

เครื่องฟอกอากาศแผ่นกรองคาร์บอน (Carbon Filter)


เครื่องฟอกอากาศคาร์บอน เป็นเครื่องฟอกที่ใช้แผ่นกรองคาร์บอนเป็นตัวกรองมลพิษทางอากาศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นเหม็น กลิ่นอับชื้น ควัน ก็สามารถใช้เครื่องฟอกอากาศคาร์บอนได้ หลักการทำงานคือเครื่องฟอกอากาศดูดอากาศภายในห้องเข้าตัวเครื่อง เพื่อกรองอากาศต่างๆ และปล่อยอากาศออกมาหมุนเวียนไปเรื่อยๆ เครื่องฟอกอากาศคาร์บอกสามารถกำจัดกลิ่นเหม็นหรืออับชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องฟอกอากาศแบบใช้ประจุไฟฟ้า (Ionic Air Purifier)


เครื่องฟอกอากาศแบบประจุไฟฟ้า เป็นเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของทางเดินหายใจ เพราะเครื่องฟอกอากาศแบบประจุไฟฟ้า สามารถกำจัดฝุ่นลอองที่มีขนาดเล็ก ผงจากควันบุหรี่ ขนสัตว์ ละอองเกสร หรือโครงสร้างโมเลกุลแบคทีเรียได้อย่างดีเยี่ยม


เครื่องฟอกอากาศแบบแผ่นกรองกรองอากาศสูง (HEPA)


เครื่องฟอกอากาศแบบแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง ที่ใช้แผ่นกรองประเภท HIGH EFFICIENCY PARTICLE ARRESTING (HEPA) ในใจได้เลยว่าอากาศที่ผ่านเครื่องฟอกอากาศประเภทนี้ จะมีความบริสุทธิ์มากถึง 99% เหมาะสำหรับใช้กับห้องที่ต้องการความสะอาดสูง เช่น ตามโรงพยาบาล หรือห้องผ่าตัด เป็นต้น

เครื่องฟอกอากาศแบบ ULTRA VIOLET (UV)


เครื่องฟอกอากาศแบบ UV เป็นเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการกรองอากาศให้บริสุทธิ์ เป็นการรวมข้อดีของเครื่องฟอกอากาศทุกประเภทไว้ในเครื่องเดียว สามารถกำจัดได้ทั้งกลิ่น ฝุ่น ควัน เชื้อโรคและแบคทีเรีย โดยมีแผ่นกรองทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่

  • แผ่นกรอง PRE-FILTER ทำหน้าที่กรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่ เช่น เส้นผม หรือขนสัตว์
  • แผ่นกรอง DUST COLLECTING FILTER ดักจับฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กได้มากสุด 99.99%
  • แผ่นกรองคาร์บอน ACTIVE CARBON FILTER ดูดซับกลิ่น และแก๊สที่ยังหลงเหลืออยู่

เครื่องฟอกอากาศป้องกันฝุ่น PM 2.5


เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกำจัดฝุ่น PM 2.5 ได้ก็จะเป็นประเภท ประจุไฟฟ้า, แบบ HEPA และแบบ UV และสำหรับเครื่องฟอกอากาศที่อยากแนะนำให้เลือกใช้งานกันคือ เครื่องฟอกอากาศ SHARP KC-G40TA-W ที่มาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์การตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กมากๆ ได้ถึง 2.5 PM


นอกจากนี้ยังมีระบบพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้น นวัตกรรมเฉพาะใน SHARP จะทำการพ่นอนุภาคบวก และลบ ช่วยในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในอากาศได้ และสลายกลิ่นอับชื้น จนไปถึงสลายฤทธิ์สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น

หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศดีดีสักเครื่องมาใช้งานที่บ้าน ในราคาถูกสบายกระเป๋า ลองแวะเข้ามาเลือกชมสินค้าเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ชั้นนำได้ที่ Homepro.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศกับเจ้าหน้าที่ได้ที่ Call Center 1284

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

กลอนประตูดิจิตอล ติดตั้งเสริม (Lim Lock) กับ ติดตั้งหลัก (Main Lock) แตกต่างกันอย่างไร?

การเลือกกลอนประตูดิจิตอลนอกจากจะเลือกตามระบบการปลดล็อคเช่น สแกนบัตร สแกนลายนิ้วมือ หรือกด PIN แล้ว (ติดตามอ่านได้ที่: ระบบ DIGITAL DOOR LOCK หรือ กลอนประตูดิจิตอล มีกี่ประเภท !?) ยังต้องเลือกอีกด้วยว่า กลอนประตูดิจิตอลเป็นแบบ ติดตั้งเสริม (Lim lock) หรือ ติดตั้งหลัก (Main lock) ซึ่งการติดตั้งทั้ง 2 รูปแบบก็มีความแตกต่างกัน แต่จะต่างกันที่ตรงจุดไหน เรามาดูไปพร้อมกันเลย!


กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งเสริม (Lim Lock)


กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งเสริม หรือแบบ Lim Lock เป็นการติดตั้งเพิ่มเติมโดยยังคงมีลูกบิดประตูแบบเดิมอยู่ ตัวเครื่องจะเป็นการติดตั้งแบบลอยอยู่เหนือลูกบิดประตูเดิม ความสูงในการติดตั้งวัดจากพื้นประมาณ 125 cm. ขั้นตอนในการติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก ในบางรุ่นคุณเองก็สามารถติดตั้งได้ด้วยตนเอง


กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งเสริมราคาจะไม่สูงมาก เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้กับบ้านและที่อยู่อาศัยและประหยัดงบประมาณ โดยกลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งเสริมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็จะเป็นแบรนด์ Yale, Samsung และ 2010Plus

กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งหลัก (Main Lock)


กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งหลัก เป็นการติดตั้งทดแทนมือจับประตูหรือลูกบิดเดิม โดยการติดตั้งจะต้องทำการถอดมือจับเดิมออกก่อน โดยถ้าหากมือจับหรือลูกบิดเป็นรูปแบบมือจับเขาควาย การติดตั้งหลักจะไม่ค่อยพบปัญหา แต่หากต้องติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล ทดแทนมือจับเดิมที่เป็นแบบมอร์ทิสล็อค กรณีนี้จะต้องทำการวัดระยะของมือจับและตลับกล่องมอร์ทิสล็อคก่อน เพื่อที่จะเลือกขนาดของกลอนประตูดิจิตอลให้พอดีกับช่องเดิมที่มีอยู่


ซึ่งการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอลจะค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องหาช่างที่มีความชำนาญการเข้ามาดูแลการติดตั้ง อีกทั้งราคาของกลอนประตูดิจิตอลประเภทนี้ จะค่อนข้างสูงมากกว่าแบบติดตั้งเสริม แต่หากเทียบกันเรื่องของความสวยงาม ความหลากหลายของฟังก์ชันการใช้งาน กลอนประตูดิจิตอลแบบติดตั้งหลักจะมีความโดดเด่นมากกว่า

ประตูบ้านแบบไหนติดตั้งได้บ้าง?


ประตูบ้านที่เหมาะสมและสามารถติดตั้งกลอนประตูดิจิตอลได้ ก็จะเป็นประตูที่ทำจากวัสดุไม้แท้และไม้เทียม ประบานเปิด ที่มีความหนาของบานประตูตั้งแต่ 3.5 cm. และเฟรมขอบประตูกว้าง 10 cm. ขึ้นไป

นอกจากประตูไม้แล้ว ประตูที่ผลิตจากวัสดุเหล็ก อลูมิเนียม กระจก ไฟเบอร์กลาส หรือประตูบานเลื่อน ก็สามารถติดตั้งได้เช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับกลอนประตูดิจิตอลแต่ละรุ่นด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ แนะนำให้สอบถามจากเซลล์ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งเสียก่อนเพื่อความแน่ใจ

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

ระบบ Digital Door Lock หรือ กลอนประตูดิจิตอล มีกี่ประเภท !?

Digital door lock หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ กลอนประตูดิจิตอล เป็นนวัตกรรมการล็อคประตูบ้านรูปแบบใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านของเรา รวมถึงช่วยแก้ปัญหาลืมกุญแจบ้านหรือไขกุญแจไม่ออก เชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับใครหลายๆคนอย่างแน่นอน


Digital door lock จึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่กลอนประตูดิจิตอล ก็มีหลายยี่ห้อและหลายประเภทให้เลือก แต่แบบไหนที่จะเหมาะกับประตูบ้านของเรามากที่สุดกันล่ะ?

ทำความรู้จักกับ Digital Door Lock

ถ้าหากอยากมีกลอนประตูดิจิตอลไว้ใช้งานที่บ้าน ก็จะต้องทำความรู้จักกับรายละเอียดของมันเสียก่อน เพื่อที่จะเลือกดิจิตอลดอร์ล็อคที่ดีที่สุดให้กับบ้านของเรา โดยอันดับแรกเรามาดูกันก่อนว่า Digital Door Lock มีรูปแบบระบบการทำงานแบบไหนบ้าง เริ่มจาก…


  • แบบกดรหัส: เป็นการตั้งค่ารหัส PIN ในการปลดล็อคประตูเพื่อเข้าบ้าน
  • แบบคีย์การ์ด: เป็นระบบสแกนบัตรเพื่อปลดล็อคประตูบ้าน
  • แบบสแกนลายนิ้วมือ: ไม่ต้องพกอะไร มีแค่นิ้วมือสแกนก็สามารถปลดล็อคประตูบ้านได้ทันที
  • แบบสแกนสิ่งของ: เป็นระบบที่สแกนสิ่งของใกล้ตัวรวมถึงทุกส่วนในร่างกายแบบล้ำสมัย
  • แบบกุญแจ: กุญแจเป็นระบบพื้นฐานที่กลอนประตูดิจิตอลทุกเครื่องต้องมี ใช้กรณีฉุกเฉิน
  • แบบแอปพลิเคชัน: ปลดล็อคประตูบ้านจากแอปพลิเคชันบนมือถือ สะดวกง่าย ทันสมัยสุดๆ


Digital Door Lock ในแต่ละรุ่น ก็อาจจะมีระบบการล็อคประตูมากกว่า 1 ระบบ อาจจะเป็นแบบผสมผสานสแกนลายนิ้วมือกับสแกนบัตร หรือ แบบกดรหัสกับระบบคีย์การ์ด เป็นต้น ทั้งนี้การเลือกระบบปลอดล็อคประตูแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการใช้งานของคุณเลย เช่น หากคุณเป็นคนขี้ลืม ก็ควรเลือกระบบสแกนนิ้วมือไว้ใช้งานที่บ้าน เพราะคุณก็คงไม่ลืมนิ้วมือกันใช่ไหมล่ะ? (ฮ่าๆ)


ประตูบ้านแบบไหนถึงติดตั้ง กลอนประตูดิจิตอล ได้?


หลายคนอาจจะกังวลว่า ซื้อกลอนประตูดิจิตอลมาแล้วติดตั้งกับประตูที่บ้านไม่ได้ อันนี้อาจจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนตัดสินใจ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะสามารถติดตั้งได้ทั้งประตูไม้ ประตูเหล็ก ประตูอลูมิเนียม ฯลฯ (ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของดิจิตอลดอร์ล็อค)

แต่เพื่อความแน่ใจและป้องกันการผิดพลาด ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกซื้อ แนะนำให้ปรึกษากับช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอลให้แน่ใจกันก่อน โดยคุณสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าประเภทกลอนประตูดิจิตอลได้ที่ Homepro.co.th หรือโทร Call Center 1284


วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

เครื่องทำน้ำอุ่น VS เครื่องทำน้ำร้อน แตกต่างกันอย่างไร!?

เชื่อว่าเราทุกคนต้องคุ้นเคยกับ “เครื่องทำน้ำอุ่น” เป็นอย่างดี เพราะเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีติดตั้งใช้งานกันแทบทุกครัวเรือน ถึงแม้อากาศบ้านเราจะไม่ได้หนาวขนาดหิมะตก แต่การที่เราได้อาบน้ำอุ่นทุกวันก็เป็นอะไรที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายในชีวิตของเราได้ดีเลยทีเดียว


แต่หลายคนก็มีความสับสนว่า เครื่องทำน้ำอุ่น กับ เครื่องทำน้ำร้อน มันเหมือนกันรึเปล่า? คำตอบคือ ไม่เหมือนกันแน่นอน … แต่ความแตกต่างของเครื่องทำน้ำอุ่นและน้ำร้อนมีอะไรบ้าง มาดูกัน!

เครื่องทำน้ำอุ่น


เรามาเริ่มกันที่ “เครื่องทำน้ำอุ่น” ที่เป็นแบบระบบเปิด เพียงแค่ทำการติดตั้งต่อท่อน้ำเข้ากับตัวเครื่องก็สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันที หลักการทำงานเป็นแบบไหลตรง โดยน้ำเย็นไหลเข้าตัวเครื่องทำน้ำอุ่น ผ่านกระบวนการปรับอุณภูมิน้ำให้เป็นไปตามที่กำหนด และปล่อยน้ำอุ่นออกมาทางฝักบัว แต่เครื่องทำน้ำอุ่นจะสามารถต่อใช้งานได้เพียง 1 จุดเท่านั้น


เครื่องทำน้ำร้อน


สำหรับ “เครื่องทำน้ำร้อน” จะมีหม้อน้ำร้อนที่สามารถทำอุณภูมิความร้อนได้สูงและคงที่มากกว่าเครื่องทำน้ำอุ่น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อใช้งานได้หลายจุด เช่น อ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัว ฯลฯ เครื่องทำน้ำร้อนเป็นเหมือนกับศูนย์กลางการทำความร้อน และส่งต่อไปยังหลายๆจุดภายในบ้าน โดยการติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อน จะถูกออกแบบมาให้ซ่อนตัวเครื่องไว้อย่างสวยงาม


กระบวนการทำงานของเครื่องทำน้ำร้อน เป็นแบบระบบปิด น้ำเย็นไหลผ่านเข้าตัวเครื่องเพื่อทำอุณภูมิน้ำให้สูงขึ้น และปล่อยน้ำร้อนออกจากตัวเครื่อง เพื่อไปผสมกับน้ำเย็นที่ก๊อกผสมก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ โดยเวลาเราใช้งานก็สามารถหมุนปรับอุณภูมิความร้อนได้ที่ตัวก๊อกน้ำเลย

เครื่องทำน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ควรเลือกแบบไหน?


การเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเครื่องทำน้ำร้อนมาใช้งานนั้น ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัย หากบ้านของคุณมีความต้องการใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนหลายๆจุดในเวลาเดียวกัน ก็แนะนำให้เลือก “เครื่องทำน้ำร้อน” ไปติดตั้งใช้งานที่บ้าน คอนโด หรือตามโรงแรมและรีสอร์ท แต่หากคุณต้องการใช้เพียงแค่จุดเดียว “เครื่องทำน้ำอุ่น” เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่า


การจะเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเครื่องทำน้ำร้อนมาติดตั้ง เราจะต้องเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เราจะใช้งานกันเสียก่อน จึงจะสามารถตอบได้ว่าเราควรเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อนประเภทไหนถึงจะเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด โดยคุณสามารถแวะเข้ามาดูสินค้าเครื่องทำน้ำอุ่นและเครื่องทำน้ำร้อนราคาถูก พร้อมรับประกันคุณภาพจาก Homepro ได้ที่ เครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อนลดราคา

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2562

ใช้เครื่องซักผ้าซักผ้านวม แบบฝาบนหรือฝาหน้าดีนะ?

เครื่องซักผ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นผู้ช่วยซักทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อย่างหมดจด มั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาด และสามารถช่วยประหยัดเวลาในการทำความสะอาดเสื้อผ้าในทุกๆวันได้อย่างดีเยี่ยม สะดวกสบายแบบนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าเครื่องซักผ้า ถูกจัดให้เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ที่ทุกบ้านต้องมีไว้ใช้งาน


แต่เครื่องซักผ้านอกจากใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าเป็นงานหลักแล้ว ยังสามารถซักทำความสะอาดพวกหมอน ผ้าปูที่นอน ตุ๊กตา และยังสามารถซักผ้านวมที่มีขนาดใหญ่ได้อีกด้วย แต่ด้วยขนาดของผ้านวมและน้ำหนักที่มีค่อนข้างมาก ดังนั้นการเลือกเครื่องซักผ้าที่สามารถรับน้ำหนักของผ้านวมได้ จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรก

เครื่องซักผ้าซักผ้านวมแบบไหนดี?


อันที่จริง จะเลือกเครื่องซักผ้าฝาบน หรือเครื่องซักผ้าฝาหน้า แบบไหนก็สามารถซักผ้านวมได้เหมือนกัน โดยเครื่องซักผ้าฝาบนจะมีรุ่นที่รับน้ำหนักได้เยอะมากกว่าเครื่องซักผ้าฝาหน้า เพียงแต่ต้องพิจารณากันตรงที่ความจุของตัวถังและความสามารถในการรับน้ำหนัก ซึ่งการที่เราจะใช้เครื่องซักผ้าซักผ้านวม ตัวถังซักควรจะรับได้มากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไปจึงจะเหมาะสมกับการซักผ้านวม 

อย่างเช่น เครื่องซักผ้าฝาหน้า SAMSUNG รุ่น WF1124XBC/XST เป็นรุ่นที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 12 กิโลกรัม หรือ เครื่องซักผ้าฝาบน SAMSUNG รุ่น WA12J5710SW/ST ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ 12 กิโลกรัมเช่นกัน

เครื่องซักผ้าฝาหน้า SAMSUNG รุ่น WF1124XBC/XST
เครื่องซักผ้าฝาบน SAMSUNG รุ่น WA12J5710SW/ST

เครื่องซักผ้านวัตกรรมใหม่


นอกจากเรื่องของความจุของเครื่องซักผ้าแล้ว เราอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของฟีเจอร์เสริมและเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับตัวเครื่องประกอบด้วย เพื่อเลือกเครื่องซักผ้าที่สามารถซักทำความสะอาดเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด 

อย่างเช่น เครื่องซักผ้าฝาบน Toshiba รุ่น AW-DUG1700WT(SS) ที่มาพร้อมกับระบบ Unique Shower Rinse เป็นระบบปล่อยน้ำแบบฝอย ช่วยให้การซักทำความสะอาดประหยัดน้ำมากขึ้น อีกทั้งประหยัดเรื่องเวลาในการทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อย่างหมดจดอีกด้วย 


หรือ เครื่องซักผ้าฝาบน LG รุ่น T2514VS2M ที่มาพร้อมกับระบบ Side Waterfall ที่มีจุดปล่อยน้ำระบบน้ำตกช่วยให้ผงซักฟอกกระจายเข้าสู่เนื้อผ้าได้เร็วและทั่วถึงกว่าเดิม และรวมถึงการขจัดผงซักฟอกตกค้างในเนื้อผ้าได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย


เทคนิคซักผ้านวมด้วยเครื่องซักผ้า

ถึงแม้ว่าเราจะมีเครื่องซักผ้าที่มีความจุตัวถังมากกว่า 10 กิโลกรัมไว้ใช้ซักผ้านวม หรือผ้าที่มีน้ำหนักมากแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถโยนผ้านวมลงเครื่องแล้วกดปุ่มซักได้เลยนะ เพราะการซักผ้าที่มีน้ำหนักมาก อาจจะต้องเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ เพื่อที่จะซักทำความสะอาดผ้านวมให้หมดจดหอมฟุ้งน่าห่มมากที่สุด

ขั้นตอนแรก: เช็คที่ป้ายสัญลักษณ์ของผ้านวม เพื่อที่จะดูว่าผ้านวมสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้หรือไม่ หรือต้องซักด้วยระบบซักผ้าแบบไหนถึงจะเหมาะกับผ้านวม เพื่อรักษาผ้านวมไม่ให้ขาดหรือชำรุดก่อนเวลาอันควร

ขั้นตอนที่สอง: ให้ทำการม้วนผ้านวมให้เรียบร้อยเสียก่อนนำเข้าเครื่องซักผ้า

ขั้นตอนที่สาม: ใส่ผลิตภัณฑ์ซักผ้าแนะนำเป็นสูตรน้ำแบบอ่อนโยน และหากอยากให้ผ้านวมหอมฟุ้งน่าห่ม ก็สามารถเพิ่มน้ำยาปรับผ้านุ่มเข้าไปด้วยได้เช่นกัน

ขั้นตอนที่สี่: หากเครื่องซักผ้ามีโปรแกรมน้ำร้อน ก็ควรซักด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนที่อุณภูมิ 40 องศา เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในผ้านวมได้ดีมากกว่าน้ำอุณภูมิปกติ

ขั้นตอนที่ห้า: เมื่อทำการซักผ้านวมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำออกจากเครื่องซักผ้าและสะบัดผ้านวมก่อนนำไปตากเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ไรขนหรือใยผ้าต่างๆจับตัวกันเป็นก้อน นำออกตากแดดจ้าเพื่อฆ่าเชื้อโรคไปในตัวด้วย

ขั้นตอนสุดท้าย: ก่อนเก็บผ้านวมเข้าตู้หรือนำไปใช้งาน ต้องเช็คให้แน่ใจก่อนว่าผ้านวมแห้งสนิทแล้วจริงๆ เพราะหากผ้านวมยังไม่แห้ง อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเอราและแบคทีเรียสะสม ส่งผลให้เกิดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงต์ชวนหงุดหงิดใจได้ แต่หากคุณเช็คแล้วว่าผ้านวมแห้งสนิท ก็สามารถนำไปใช้ห่มนอนหลับฝันดีได้เลย


ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกเครื่องซักผ้าสำหรับซักผ้านวม หรือผ้าที่มีน้ำหนักมาก ก็ควรเลือกจากเครื่องซักผ้าที่มีความจุถังซักที่สามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม พร้อมกับฟีเจอร์หรือนวัตกรรมการซักทำความสะอาดที่สามารถช่วยทำให้การซักทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อย่างสะอาดหมดจด อำนวยความสะดวก ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาดไอ้ย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

หากคุณกำลังมองหาเครื่องซักผ้าฝาบนหรือฝาหน้าสักเครื่องมาใช้งานที่บ้าน ลองแวะเข้ามาเลือกชมสินค้ากันได้ที่ Homepro.co.th